แบ่งปัน:
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

กลยุทธ์การลงทุนแบบ VA (Value Averaging) ดีกว่า DCA หรือป่าว?

1 กระทู้
1 ผู้ใช้
0 Reactions
102 เข้าชม
Papa Big Pack
(@papa-big-pack)
4-ท่านผู้มีเกียรติ
เข้าร่วม: 2 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 50
หัวข้อเริ่มต้น  

กลยุทธ์การลงทุนแบบ VA (Value Averaging) ดีกว่า DCA หรือป่าว?

Blue Gradient Corporate Business Facebook Post (1)

กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging ) หลายคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว DCA เป็นกลยุทธ์ในการลงทุนอย่างง่าย ด้วยวิธีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยการซื้อทรัพย์สินในจำนวนเท่าๆ กัน เป็นประจำไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่คำนึงว่าตลาดจะเป็นเทรนด์ขึ้นหรือเทรนด์ขาลง

กลยุทธ์การลงทุนแบบ VA (Value Averaging) มีเป้าหมายคล้ายกับ DCA คือ เน้นสะสมทรัพย์สินในระยะยาวเพื่อให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ถูกลง โดยที่ DCA จะลงทุนเป็นประจำ และลงทุนด้วยเงินเท่าๆ กันทุกครั้ง ส่วน VA ก็จะลงทุนเป็นประจำเหมือนกัน แต่จะใส่เงินในแต่ละครั้งไม่เท่ากัน กรณีที่ มูลค่าทรัพย์สินมาก กว่าเป้าหมาย ก็จะซื้อน้อยลงหรืออาจจะขายออกมา หรือถ้ามูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่าเป้าหมาย ก็จะทำการซื้อเพิ่มให้มากกว่าปกติ เพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินอยู่ในระดับที่ตั้งเอาไว้อยู่ตลอด

VA เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากกว่า DCA มีความยืดหยุ่นมากกว่า ช่วยให้เราไม่ต้องซื้อทรัพย์สินในราคาที่สูงมากเกินไป สำหรับในช่วงที่ตลาดมีราคาสูง และสามารถดึงผลกำไรออกมาเก็บเอาไว้ก่อน ทำให้มีผลตอบแทนในระยะยาวอาจดีกว่า เมื่อเทียบกับการ DCA ที่ลงทุนเป็นจำนวนคงที่ โดยไม่คำนึงถึงสภาวะตลาด

กลยุทธ์การลงทุนแบบ VA มีขั้นตอนอย่างไร?

การเตรียมเงินลงทุน โดยมีการแบ่งเงินลงทุนกันไว้เป็นก้อนโดยเฉพาะ แล้ว กำหนดช่วงเวลาที่จะซื้อ เช่น ทำการซื้อในทุกๆ วัน ทุกๆ อาทิตย์ หรือ ทุกๆ เดือน เป็นต้น สมมติว่า เรากำหนดเป้าหมายว่าจะลงทุนเดือนละ 1,000 บาท ทุกเดือน ก็จะมีเส้นมูลค่าทรัพย์สิน 1,000 / 2,000 / 3,000 บาท ไปเรื่อยๆ เป็นเส้นตรง กรณี DCA เราจะทำการซื้อเลยโดยไม่สนราคา แต่ VA จะดูก่อนว่า มูลค่าทรัพย์สินปัจจุบัน เป็นอย่างไร

ถ้าตลาดมีแนวโน้วลง มูลค่าทรัพย์สินปัจจุบันของเราจะต่ำกว่า มูลค่าทรัพย์ที่วางแผนเอาไว้ แสดงว่าเราจะต้องทำการซื้อมากกว่า 1,000 บาท เช่นอาจจะซื้อ 2,000 บาท เพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินปัจจุบัน เท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่วางแผนเอาไว้

ถ้าตลาดมีแนวโน้วขึ้น มูลค่าทรัพย์สินปัจจุบันของเราจะสูงกว่า มูลค่าทรัพย์ที่วางแผนเอาไว้ เราสามารถทำการซื้อน้อยกว่า 1,000 บาท เช่น อาจจะซื้อ 500 บาท หรือสามารถขายทำกำไรออกมาก่อนได้ เพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินปัจจุบัน เท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่วางแผนเอาไว้

ValueAveraging

ข้อดีคือ กลยุทธ์การลงทุนแบบ VA จะมีการขายทำกำไรในช่วงที่ราคาตลาดเพิ่มสูงขึ้น และมีการซื้อเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ เมื่อราคาตลาดลดต่ำลง ทำให้เราสามารถ ซื้อถูกจำนวนมาก และขายทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพของการสะสมทรัพย์สินได้มากยิ่งขึ้น

แต่ข้อควรระวังก็คือ เราไม่ได้ใส่เงินลงทุนเต็มที่ทุกครั้ง เหมือน DCA ถ้าในกรณีเป็นตลาดขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง การ DCA อาจจะสร้างผลตอบแทนสูงกว่าการ VA เพราะมีการเติมเงินเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่ VA อาจจะไม่ต้องใส่เงินเพิ่มมากนัก ทำให้ผลตอบแทนของ VA ต่ำกว่าได้ และหากตลาดเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะต้องใช้เงินสำรองเพื่อซื้อเพิ่มเข้าไปค่อนข้างมากกว่าปกติ อาจจะทำให้มีเงินในการซื้อต่อเนื่อง ไม่เพียงพอก็ได้

ข้อสำคัญการลงทุนทั้งแบบ DCA และแบบ VA ก็คือ “ความสม่ำเสมอ” ทั้งเรื่องของจำนวนเงินลงทุน และช่วงเวลาที่เราเข้าซื้อด้วย และเราจะต้องเลือกทรัพย์สินที่มั่นใจว่าเติบโตในอนาคตในระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะหากเราเข้าสะสมทรัพย์สินที่มูลค่าลดลงไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ขาดทุนสะสมต่อเนื่องอย่างหนักเลยทีเดียว


   
อ้างอิง
แท็กหัวข้อ